วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551
ตามแม่ไปนครปฐม
เรื่องของแม่กับลูก
ปกติน้องพิงค์จะร่าเริง ไม่งอแง แต่ถ้าช่วงเย็น น้องพิงค์จะอ้อน ร้องไห้จะกินแต่นมแม่ ไม่ยอมกินนมขวดเลย หรือยอมกินก็ต่อเมื่อร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว แต่การร้องไห้ของน้องพิงค์ไม่ใช่การแผดเสียงร้อง แต่ร้องไห้แบบอ้อนๆ บางครั้งก็ทำตาละห้อยหาแม่ น่าสงสารเป็นที่สุด ดังนั้น ช่วงเวลาเย็นๆ จึงเป็นช่วงที่แม่แอบแวบไหนไม่ค่อยได้ ตอนนี้อายุ 3 เดือนแล้ว ก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเวลาแม่กลับบ้านเย็นหลังเลิกงาน น้องพิงค์ก็ยังร่าเริง ไม่ร้องไห้กวนป้าอ๋อยเท่าใดนัก
คุณแม่เริ่มไปทำงาน
แม่เริ่มไปทำงานแล้วเมื่อวานนี้ น้องพิงค์อยู่กับป้าอ๋อยสองคน คุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวัน ถ้าน้องพิงค์ไม่ยอมคุย ป้าอ๋อยก็จะเหงามากเลยล่ะค่ะ ก็อยู่กันสองคนนี่คะ แม่กับพ่อไปทำงานกลับบ้านค่ำ โดยเฉพาะพ่อกลับบ้านช้ามาก จนน้องพิงค์หลับไปแล้วพ่อถึงจะมา มาถึงก็ทำเสียงดัง น้องพิงค์เลยต้องตื่นแถมยังแกล้งลูกอีก (ขอเม้าท์พ่อลับหลังหน่อยนะคะ) เฮ้อ...กลุ้มเลยเรา...
คิดถึงยายจัง
น้องพิงค์มาถึงกรุงเทพฯ ราวๆ 3 ทุ่มครึ่งของวันที่ 2 มกราคม ทั้งๆ ที่ออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงเช้า เป็นการเดินทางที่แสนนานที่สุดของน้องพิงค์เลยทีเดียว แม้แต่แม่กับป้าอ๋อยก็ยังเพลียแทบหมดแรง แต่พิงค์กลับไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย สงสัยเพราะนอนมาทั้งวัน อิอิ... หลับอุตุสบายในอ้อมกอดของแม่กับป้าอ๋อยที่ผลัดกันอุ้ม น้องพิงค์สร้างวีรกรรมอีกแล้ว แต่ไม่บอกหรอกว่าทำอะไร ไว้ถามแม่กับป้าอ๋อยเองแล้วกันนะคะ
ป้าแอโทร.หาแม่ บอกว่ายายร้องไห้คิดถึงน้องพิงค์ทุกวัน มองไปทางไหนก็คิดถึงหลาน เห็นผ้าอ้อมก็ร้องไห้ เวลานอนก็ไปนอนที่ห้องน้องพิงค์ สุดท้ายทั้งป้าทั้งยายก็กอดกันร้องไห้ แม่เองเวลาคุยกับป้าแอ น้องพิงค์ก็เห็นแม่แอบปาดน้ำตาทิ้งเหมือนกัน สรุปแล้วทุกคนก็ร้องไห้กันหมด น้องพิงค์เองแม้จะยังเล็กไร้เดียงสา แต่ก็รับรู้เหมือนกัน น้องพิงค์ก็คิดถึงยาย ตา คิดถึงป้าแอ เพราะมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่คึกคักเหมือนที่บ้านเราเลย มีแต่แม่ พ่อ และป้าอ๋อยเท่านั้นเอง ที่บ้านยังมีตา ยาย ป้าแอ ลุงเบิ้ม ป้าพร พี่บาส พี่บุ๊ค พี่บูม พี่ดนย์ พี่อาร์ต ที่แม้จะไม่ได้เจอกันทุกวัน แต่ก็มาหาหลานกันเกือบทุกวันหยุด โดยเฉพาะป้าแอ ที่โดนแม่ขอร้องแกมบังคับให้กลับบ้านทุกอาทิตย์ เพื่อมาเลี้ยงน้องพิงค์โดยเฉพาะ พ่อกับแม่จะได้ออกไปทำธุระ (เที่ยว) บ้าง
น้องพิงค์มาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 6 วันแล้ว กำลังอยู่ในช่วงของการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่ เพราะกรุงเทพฯ ร้อนกว่าที่เชียงใหม่ ตอนอยู่ที่บ้านเชียงใหม่ น้องพิงค์ต้องใส่ชุดกันหนาว เพราะบางวันอุณหภูมิในห้องนอน ลดลงเหลือ 15 องศาเท่านั้น ในขณะที่กลางสนามหญ้าหน้าบ้านอุณหภูมิ 8 องศา นอนห่มผ้าหลายชั้นมาก แต่ที่กรุงเทพฯ เสื้อผ้าที่ขนมาจากเชียงใหม่แทบไม่ได้ใช้เลย เพราะที่นี่ร้อน แม้ว่าจะเปิดแอร์ แต่น้องพิงค์ก็ยังมีเหงื่อออก เวลาที่ยายโทร.มาหาน้องพิงค์ ก็มักจะถามเสมอว่าน้องพิงค์เป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงยายไหม? น้องพิงค์อยากบอกว่า น้องพิงค์คิดถึงยายมาก แล้วก็ชอบอากาศสดชื่นที่บ้านเรามากกว่าที่กรุงเทพฯจ้ะ
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551
ครอบครัวป้าดามาเยี่ยมน้องพิงค์
ที่สถานีรถทัวร์นครชัยแอร์ ผู้คนคลาคล่ำแน่นขนัด ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยของสถานีรถทัวร์แห่งนี้ ที่มักจะมีผู้โดยสารใช้บริการเต็มมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดยาว หรือวันหยุดปกติ พ่อโป๊ะออกจากที่ทำงานที่คลองเตย มาถึงสถานีรถ ตั้งแต่ประมาณทุ่มครึ่ง เพราะกลัวรถติด ส่วนครอบครัวลุงใหญ่ตามมาทีหลัง เพราะอยู่ใกล้กว่า พี่แยมท่าทางจะตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางโดยรถทัวร์ คอยสอบถามผู้ใหญ่ตลอดเวลาเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ เช่น ถามว่าเมื่อไหร่รถจะออก เราจะนั่งกันตรงไหน ใครจะนั่งกับใคร และเมื่อไหร่จะถึง เบาะรถทัวร์จะปรับอย่างไร ปุ่มนวดหลังจะต้องกดอย่างไร ฯลฯ เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสนุกสนาน อาหารที่แจกบนรถก็มากมายเหลือเฟือจนรับประทานไม่หมด บางส่วนก็เก็บมาแช่ตู้เย็นต่อที่เชียงใหม่
นานๆ จะเดินทางโดยรถทัวร์ ดังนั้น หลายคนจึงนอนไม่ค่อยจะหลับ น้องแยมตื่นขึ้นมา ช่วงประมาณตีสาม ส่วนพ่อโป๊ะ ตื่นช่วงตีสอง ตีสามกว่าๆ แล้วก็ตีห้าครึ่ง แต่คนที่หลับได้หลับดีจนน่าอิจฉา ก็คือลุงใหญ่ นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็น.... จริงๆเลยครับท่าน รถทัวร์พาพวกเรามาส่งถึงสถานีอาเขต ใกล้สี่แยกศาลเด็ก จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. ป้าแอขับรถจากบ้านดอยสะเก็ด มารอล่วงหน้าแล้ว
สวัสดีเจ้า...ยินดีต้อนฮับสู่เฮือนน้องพิงค์
อุ๊ยยายของน้องพิงค์และป้าอ๋อย ตำน้ำพริกมะเฟือง น้ำพริกมะกอก ทอดจิ๊นหมู พร้อมด้วยข้าวนึ่งร้อนๆ เป็นอาหารเช้าสำหรับวันแรก ซึ่งเป็นที่ติดอกติดใจของครอบครัวลุงใหญ่มาก โดยเฉพาะน้ำพริกมะกอก จึงต้องจัดเมนูนี้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น กิจกรรมของครอบครัวลุงใหญ่สำหรับทริปนี้ ได้ถูกวางไว้แบบสบายๆ คือ ช่วงสายไปแอ่วงานพืชสวนโลก ช่วงค่ำทีแรกพี่แยมอยากไปแอ่วไนท์ซาฟารี แต่หมดแรงเสียก่อน ก็เลยไม่ได้ไป ตอนค่ำเลยเปลี่ยนแผนไปให้เพื่อนสนิทลุงใหญ่ที่เป็นอัยการอยู่เชียงใหม่เลี้ยงอาหารค่ำ ที่ร้านกาแล หลัง มอชอ อากาศหนาวมาก..ก จนพี่แยมผู้ชอบอากาศหนาวยังบ่นว่าหนาว...ว
วันรุ่งขึ้น ทานอาหารเช้า พักผ่อนกันแบบสบายๆ จนเกือบเที่ยง จึงออกเดินทางไปแอ่วน้ำพุร้อน ที่อำเภอสันกำแพง เสร็จแล้วก็มาหาซื้อของฝากที่กาดหลวง จนกระทั่งเวลาประมาณทุ่มครึ่ง ครอบครัวลุงใหญ่จึงเดินทางกลับด้วยสายการบินวันทูโก โดยขลุกขลักเล็กน้อย เนื่องจากกล่องใส่ของฝากที่โหลดเข้าใต้ท้องเครื่องบิน มาช้าเกือบสองชั่วโมง
พอส่งครอบครัวลุงใหญ่แล้ว คุณพ่อโป๊ะก็กลับมานอนที่บ้านสวนริมธารอีกหนึ่งคืน เช้าวันจันทร์ป้าแอ จึงขับรถไปส่งพ่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินนกแอร์ กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เช้าวันจันทร์หนาวจ๊าดนัก เอาปรอทมาวัดที่สนามหญ้าได้ประมาณ 8 องศาเซลเซียส เครื่องทำน้ำอุ่นแทบสู้ไม่ไหวเชียวนะ เรื่องราวการมาเยี่ยมน้องพิงค์ของครอบครัวลุงใหญ่ในครั้งนี้ มีค่อนข้างมากและสนุกสนาน สามารถแยกออกได้เป็นหลายตอน เช่น ตอนมาอยู่ที่บ้านในตอนนี้ , ตอนไปแอ่วงานพืชสวนโลก และ ตอนไปแอ่วน้ำพุฮ้อน สันกำแพง น้องพิงค์คุยกับพ่อแล้ว ได้ความว่า พ่อจะค่อยๆนำเรื่องและภาพมาขึ้นเว็บไซท์ให้อ่านกันในโอกาสต่อไปเจ้า....น้องพิงค์ขอลาไปนอนก่อนนะเจ้า บ๊ายบาย
ป้าป้อมมาเยี่ยมที่เชียงใหม่
ป้าป้อม กำลังนั่งดูหนังจากยูบีซี ในช่วงที่น้องพิงค์นอนหลับพักผ่อนตอนกลางวัน น้องพิงค์ตัวหนักประมาณ 5 กิโลกรัมแล้วในตอนนี้ ป้าป้อมอุ้มไม่ไหว ได้แต่หยอกล้อตอนที่น้องพิงค์อยู่บนตัวคุณพ่อ
หนาวหรือไม่ ลองดูชุดที่น้องพิงค์ใส่ ก็น่าจะรู้นะจ๊ะ ขนาดเป็นคนขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย น้องพิงค์ยังยอมใส่ชุดหมีพู โดยดี
น้ากัลยาณีย์ และน้าอนงค์ มาเยี่ยมพิงค์
บ่ายวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2549 อากาศที่บ้านสวนริมธาร อ.ดอยสะเก็ด เย็นสบายด้วยอุณหภูมิภายในห้องนั่งเล่นประมาณ 26 องศาเซลเซียส เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวของเชียงใหม่ น้ากัลยาณีย์ มาพร้อมคุณแม่ และพี่พีช ส่วนหน้าอนงค์ เดินทางมาคนเดียว มาเยี่ยมน้องพิงค์พร้อมๆกัน น้าณีย์และน้านงค์ เป็นเพื่อนของแม่น้อยมาตั้งแต่เด็ก ร้องไห้ขี้มูกโป่งมาด้วยกัน น้าณีย์มีลูกสาวก่อนแม่น้อย ชื่อ พี่พีช โตเร็วจัง เผลอแป๊บเดียว 3 ขวบแล้ว ส่วนน้านงค์ยังโสดจ้า...น้องพิงค์นอนเล่น กินนมจากเต้า..สบายอารมณ์ มีหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อน้ำนมไหลไม่ทันใจ วันนี้สายสะดือของน้องพิงค์หลุดแล้ว หลังจากลุ้นว่าจะหลุดเมื่อไหร่มานานกว่า 20 วัน ต่อไปก็ต้องมาลุ้นอีกว่าน้องพิงค์จะสะดือจุ่นหรือเปล่า (ฮา...)
ยินดีนักๆ ที่มาเยี่ยมน้องพิงค์เจ้า... แล้วต้องปิ๊กมาแหมเน้อ...
เด็กกำลังกินกำลังนอน
ช่วงนี้ คุณพ่อโป๊ะต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างโรงพยาบาล - บ้าน - ร้านค้า - และร้าน S&P ที่อยู่ในโรงพยาบาลใกล้ตึกสมเด็จพระศรีนครินทร์ 100 ปี ซื้อของใช้สำหรับลูก และ ซื้อเสบียงมากินกัน หมดจากช่วงนี้ไป เห็นทีจะเบื่ออาหาร S&P ไปอีกนานเชียวล่ะ
ช่วงแรกของการผ่าตัดคลอด คุณแม่ทานอะไรไม่ได้ถึงสองวัน แต่ได้รับน้ำเกลือแทน หลังจากนั้น โรงพยาบาลจัดอาหารอ่อนประเภทข้าวต้มมาให้ทาน อาหารบางอย่างก็ต้องให้คนเฝ้าทานแทน เพราะไปขัดกับความเชื่อโบราณว่าเป็นของแสลงสำหรับคนที่คลอดบุตรใหม่ๆ เช่น แตงโม เป็นต้น ตอนนี้คุณแม่โหยหา ส้มตำปูม้า , ปลากระพงทอดน้ำปลา ฯลฯ ของครัวเจ้ง๊อ มากเลยล่ะ อิ..อิ
น้องพิงค์ญาติเยอะ
อุ๊ยยาย นำขบวนญาติจากจังหวัดเชียงใหม่ ลงมาเยี่ยมหลานคนเล็ก ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2549 โดยมีป้าแอ กับลุงเบิ้ม ผลัดกันขับรถซิ่งลงมา วัตถุประสงค์หลักก็คือต้องการนำพี่อ๋อย ลงมาส่งให้ช่วยดูแลหลานสาวที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเจ้าตัวน้อยเดินทางกลับเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ใหญ่ที่เอ่ยถึงแล้ว ภายในรถยังอัดแน่นไปด้วยสองเซียนฝาแฝด Book & Boom ที่ซนสุดๆ และพี่บาส ที่กำลังเริ่มเป็นหนุ่มน้อย ดังนั้น ญาติคนอื่นๆ จากเชียงใหม่ จึงไม่สามารถเดินทางมาเยี่ยมน้องพิงค์ได้ในครั้งนี้จ้า
มุมมองจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลศิริราช
สามวันแรกที่ยังไม่ได้ห้องพิเศษเดี่ยว เราพักอยู่กันที่ชั้น 13 ของตึกพระศรีฯ 100 ปี บรรยากาศที่ริมระเบียงก็พอใช้ได้ เห็นวิวแม่น้ำด้านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมา พอได้ห้องพิเศษเดี่ยวที่ชั้น 14 ห้องพักจะอยู่อีกฟากหนึ่งของตึกพระศรีฯ จึงเห็นวิวแม่น้ำเต็มที่ยาวไกลสุดสายตาเลยนะ บรรยากาศตอนกลางวันดูสวยงาม เหมาะสำหรับญาติที่มาเฝ้าคนป่วย เอาอาหารกลางวันมานั่งรับประทานกันที่ริมระเบียง แล้วก็ยืนชมวิวเป็นอาหารตาไปด้วย