วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

ตามแม่ไปนครปฐม

น้องพิงค์ชอบการเดินทางมาก อาจจะเป็นเพราะตอนที่แม่มีน้องพิงค์ แม่เดินทางบ่อยๆ ก็เป็นได้ พ่อเล่าว่าทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ พ่อกับแม่จะกลับบ้านที่เชียงใหม่เสมอ บางครั้งเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ค่ำแล้ว ต้องแวะพักที่กำแพงเพชรก่อน เพราะพ่อขับรถต่อไปไม่ไหวแล้ว หมดแรงเอาดื้อๆ เลย แม่ยิ่งแย่กว่านั้น เพราะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ กลัวลูกจะกระทบกระเทือน
ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ นอกจากได้มาเที่ยวนครปฐมแล้ว ก่อนหน้านั้น พ่อกับแม่ก็พาน้องพิงค์ไปไหว้คุณปู่คุณย่าที่บ้านซอยสุจริต ที่บ้านโน้นมีแมวเยอะมาก เวลาคุณย่าเผลอมันมักจะแอบย่องมาฉกเอาของกินบ่อยๆ จริงๆ แล้วแมวพวกนี้คุณย่าไม่ได้เลี้ยงไว้หรอก มันมาจากไหนก็ไม่รู้ คุณย่าสงสารเลยให้อาหารมันกินจนมันชิน จากนั้นมันก็พาพวกยกโขยงกันมากินข้าวที่บ้านคุณย่าประจำเลย นี่ถ้าเจ้าจุดหมาเฒ่ายังอยู่ มันก็คงไม่กล้าเพ่นพ่านอย่างนี้หรอก
สัปดาห์ที่จะถึงนี้ (27-28 ม.ค.50) แม่จะพาน้องพิงค์นั่งรถเล่นไปนครปฐมอีกแล้ว เพราะแม่ต้องไปทำงาน (อีกตามเคย) น้องพิงค์ต้องอยู่กับป้าอ๋อยสองคนเช่นเคย เพราะพ่อก็ติดธุระเหมือนกัน น้องพิงค์ไม่ปลื้มเลย...เฮ้อ...


เรื่องของแม่กับลูก

เมื่อรู้ว่าแม่มีน้ำนมให้ลูกกินไม่พออิ่ม ต้องให้นมผงเสริม แม่เสียใจมากเพราะเดิมตั้งใจจะให้นมแม่อย่างเดียว ดังนั้นเวลาให้นมลูกแม่จะบอกหนูเสมอว่า "นมแม่มีประโยชน์สำหรับน้องพิงค์มาก เพราะทำให้มีภูมิต้านทานโรค และทำให้ฉลาด หนูกินนมแม่เยอะๆ นะ" เหมือนน้องพิงค์จะเข้าใจเพราะลูกชอบกินนมแม่มาก ถึงแม้จะมีน้ำนมน้อยก็ตาม
ปกติน้องพิงค์จะร่าเริง ไม่งอแง แต่ถ้าช่วงเย็น น้องพิงค์จะอ้อน ร้องไห้จะกินแต่นมแม่ ไม่ยอมกินนมขวดเลย หรือยอมกินก็ต่อเมื่อร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว แต่การร้องไห้ของน้องพิงค์ไม่ใช่การแผดเสียงร้อง แต่ร้องไห้แบบอ้อนๆ บางครั้งก็ทำตาละห้อยหาแม่ น่าสงสารเป็นที่สุด ดังนั้น ช่วงเวลาเย็นๆ จึงเป็นช่วงที่แม่แอบแวบไหนไม่ค่อยได้ ตอนนี้อายุ 3 เดือนแล้ว ก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเวลาแม่กลับบ้านเย็นหลังเลิกงาน น้องพิงค์ก็ยังร่าเริง ไม่ร้องไห้กวนป้าอ๋อยเท่าใดนัก
มาอยู่กรุงเทพฯได้หลายวันแล้ว ตอนนี้น้องพิงค์ต้องปรับตัวขนานใหญ่ ก็อากาศมันร้อนซะขนาดนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างแม่ก็ยังมีอาการไม่ค่อยสบาย วันแรกๆ น้องพิงค์ก็จามบ่อยเหมือนกัน กลางคืนก็หายใจฟืดฟาด แม่ใช้น้ำเกลือที่ได้จากคลินิกหยอดจมูก ก็เลยโล่ง สำหรับตอนนี้สบายดีจ้า

คุณแม่เริ่มไปทำงาน



แม่เริ่มไปทำงานแล้วเมื่อวานนี้ น้องพิงค์อยู่กับป้าอ๋อยสองคน คุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวัน ถ้าน้องพิงค์ไม่ยอมคุย ป้าอ๋อยก็จะเหงามากเลยล่ะค่ะ ก็อยู่กันสองคนนี่คะ แม่กับพ่อไปทำงานกลับบ้านค่ำ โดยเฉพาะพ่อกลับบ้านช้ามาก จนน้องพิงค์หลับไปแล้วพ่อถึงจะมา มาถึงก็ทำเสียงดัง น้องพิงค์เลยต้องตื่นแถมยังแกล้งลูกอีก (ขอเม้าท์พ่อลับหลังหน่อยนะคะ) เฮ้อ...กลุ้มเลยเรา...


คิดถึงยายจัง

น้องพิงค์จากบ้านมาพร้อมกับน้ำตาของยาย แม่ชวนยายให้มาอยู่กับน้องพิงค์แล้ว แต่ยายยังมาไม่ได้ ป้าแอสัญญาว่าสิ้นเดือนนี้จะมาส่งยายที่กรุงเทพฯ แต่ยายก็คงจะมาพักไม่นาน ต้องไปๆมาๆ ระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ เพราะว่าเป็นห่วงบ้าน (ไม่ห่วงตาเท่าไหร่หรอก เพราะตาเก่งอยู่คนเดียวได้สบายมาก)
น้องพิงค์มาถึงกรุงเทพฯ ราวๆ 3 ทุ่มครึ่งของวันที่ 2 มกราคม ทั้งๆ ที่ออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงเช้า เป็นการเดินทางที่แสนนานที่สุดของน้องพิงค์เลยทีเดียว แม้แต่แม่กับป้าอ๋อยก็ยังเพลียแทบหมดแรง แต่พิงค์กลับไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย สงสัยเพราะนอนมาทั้งวัน อิอิ... หลับอุตุสบายในอ้อมกอดของแม่กับป้าอ๋อยที่ผลัดกันอุ้ม น้องพิงค์สร้างวีรกรรมอีกแล้ว แต่ไม่บอกหรอกว่าทำอะไร ไว้ถามแม่กับป้าอ๋อยเองแล้วกันนะคะ

ป้าแอโทร.หาแม่ บอกว่ายายร้องไห้คิดถึงน้องพิงค์ทุกวัน มองไปทางไหนก็คิดถึงหลาน เห็นผ้าอ้อมก็ร้องไห้ เวลานอนก็ไปนอนที่ห้องน้องพิงค์ สุดท้ายทั้งป้าทั้งยายก็กอดกันร้องไห้ แม่เองเวลาคุยกับป้าแอ น้องพิงค์ก็เห็นแม่แอบปาดน้ำตาทิ้งเหมือนกัน สรุปแล้วทุกคนก็ร้องไห้กันหมด น้องพิงค์เองแม้จะยังเล็กไร้เดียงสา แต่ก็รับรู้เหมือนกัน น้องพิงค์ก็คิดถึงยาย ตา คิดถึงป้าแอ เพราะมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่คึกคักเหมือนที่บ้านเราเลย มีแต่แม่ พ่อ และป้าอ๋อยเท่านั้นเอง ที่บ้านยังมีตา ยาย ป้าแอ ลุงเบิ้ม ป้าพร พี่บาส พี่บุ๊ค พี่บูม พี่ดนย์ พี่อาร์ต ที่แม้จะไม่ได้เจอกันทุกวัน แต่ก็มาหาหลานกันเกือบทุกวันหยุด โดยเฉพาะป้าแอ ที่โดนแม่ขอร้องแกมบังคับให้กลับบ้านทุกอาทิตย์ เพื่อมาเลี้ยงน้องพิงค์โดยเฉพาะ พ่อกับแม่จะได้ออกไปทำธุระ (เที่ยว) บ้าง

น้องพิงค์มาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 6 วันแล้ว กำลังอยู่ในช่วงของการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่ เพราะกรุงเทพฯ ร้อนกว่าที่เชียงใหม่ ตอนอยู่ที่บ้านเชียงใหม่ น้องพิงค์ต้องใส่ชุดกันหนาว เพราะบางวันอุณหภูมิในห้องนอน ลดลงเหลือ 15 องศาเท่านั้น ในขณะที่กลางสนามหญ้าหน้าบ้านอุณหภูมิ 8 องศา นอนห่มผ้าหลายชั้นมาก แต่ที่กรุงเทพฯ เสื้อผ้าที่ขนมาจากเชียงใหม่แทบไม่ได้ใช้เลย เพราะที่นี่ร้อน แม้ว่าจะเปิดแอร์ แต่น้องพิงค์ก็ยังมีเหงื่อออก เวลาที่ยายโทร.มาหาน้องพิงค์ ก็มักจะถามเสมอว่าน้องพิงค์เป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงยายไหม? น้องพิงค์อยากบอกว่า น้องพิงค์คิดถึงยายมาก แล้วก็ชอบอากาศสดชื่นที่บ้านเรามากกว่าที่กรุงเทพฯจ้ะ

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

ครอบครัวป้าดามาเยี่ยมน้องพิงค์


พี่แยม เดินทางโดยรถทัวร์นครชัยแอร์ เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นมาก..ก ค่ะ


ค่ำวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2549 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม พ่อโป๊ะนัดเจอกับครอบครัวของลุงใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรวม 4 คน มี ลุงใหญ่ ป้าดา น้าน้อง พี่แยม ที่สถานีรถทัวร์นครชัยแอร์ กรุงเทพฯ เพื่อขึ้นรถทัวร์เที่ยวเวลา 21.30 น. เดินทางขึ้นสู่จังหวัดเชียงใหม่




ที่สถานีรถทัวร์นครชัยแอร์ ผู้คนคลาคล่ำแน่นขนัด ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยของสถานีรถทัวร์แห่งนี้ ที่มักจะมีผู้โดยสารใช้บริการเต็มมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดยาว หรือวันหยุดปกติ พ่อโป๊ะออกจากที่ทำงานที่คลองเตย มาถึงสถานีรถ ตั้งแต่ประมาณทุ่มครึ่ง เพราะกลัวรถติด ส่วนครอบครัวลุงใหญ่ตามมาทีหลัง เพราะอยู่ใกล้กว่า พี่แยมท่าทางจะตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางโดยรถทัวร์ คอยสอบถามผู้ใหญ่ตลอดเวลาเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ เช่น ถามว่าเมื่อไหร่รถจะออก เราจะนั่งกันตรงไหน ใครจะนั่งกับใคร และเมื่อไหร่จะถึง เบาะรถทัวร์จะปรับอย่างไร ปุ่มนวดหลังจะต้องกดอย่างไร ฯลฯ เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสนุกสนาน อาหารที่แจกบนรถก็มากมายเหลือเฟือจนรับประทานไม่หมด บางส่วนก็เก็บมาแช่ตู้เย็นต่อที่เชียงใหม่
นานๆ จะเดินทางโดยรถทัวร์ ดังนั้น หลายคนจึงนอนไม่ค่อยจะหลับ น้องแยมตื่นขึ้นมา ช่วงประมาณตีสาม ส่วนพ่อโป๊ะ ตื่นช่วงตีสอง ตีสามกว่าๆ แล้วก็ตีห้าครึ่ง แต่คนที่หลับได้หลับดีจนน่าอิจฉา ก็คือลุงใหญ่ นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็น.... จริงๆเลยครับท่าน รถทัวร์พาพวกเรามาส่งถึงสถานีอาเขต ใกล้สี่แยกศาลเด็ก จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. ป้าแอขับรถจากบ้านดอยสะเก็ด มารอล่วงหน้าแล้ว


สวัสดีเจ้า...ยินดีต้อนฮับสู่เฮือนน้องพิงค์


พักผ่อนแบบสบายๆ อยู่ที่บ้านสวนริมธาร ดอยสะเก็ด


อุ๊ย...ปี้แยม เคยอุ้มน้องแอพ่องก่อ... น้องพิงค์จะตกแล้วจ้า...




มานี่ ป้าดาช่วยจัดท่าให้ใหม่ จะได้นั่งสบายๆนะจ๊ะ

เฮ้อ..โล่งอกไปที พี่แยมอุ้มน้องพิงค์เป็นแล้วล่ะ...



อุ๊ยยายของน้องพิงค์และป้าอ๋อย ตำน้ำพริกมะเฟือง น้ำพริกมะกอก ทอดจิ๊นหมู พร้อมด้วยข้าวนึ่งร้อนๆ เป็นอาหารเช้าสำหรับวันแรก ซึ่งเป็นที่ติดอกติดใจของครอบครัวลุงใหญ่มาก โดยเฉพาะน้ำพริกมะกอก จึงต้องจัดเมนูนี้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น กิจกรรมของครอบครัวลุงใหญ่สำหรับทริปนี้ ได้ถูกวางไว้แบบสบายๆ คือ ช่วงสายไปแอ่วงานพืชสวนโลก ช่วงค่ำทีแรกพี่แยมอยากไปแอ่วไนท์ซาฟารี แต่หมดแรงเสียก่อน ก็เลยไม่ได้ไป ตอนค่ำเลยเปลี่ยนแผนไปให้เพื่อนสนิทลุงใหญ่ที่เป็นอัยการอยู่เชียงใหม่เลี้ยงอาหารค่ำ ที่ร้านกาแล หลัง มอชอ อากาศหนาวมาก..ก จนพี่แยมผู้ชอบอากาศหนาวยังบ่นว่าหนาว...ว
วันรุ่งขึ้น ทานอาหารเช้า พักผ่อนกันแบบสบายๆ จนเกือบเที่ยง จึงออกเดินทางไปแอ่วน้ำพุร้อน ที่อำเภอสันกำแพง เสร็จแล้วก็มาหาซื้อของฝากที่กาดหลวง จนกระทั่งเวลาประมาณทุ่มครึ่ง ครอบครัวลุงใหญ่จึงเดินทางกลับด้วยสายการบินวันทูโก โดยขลุกขลักเล็กน้อย เนื่องจากกล่องใส่ของฝากที่โหลดเข้าใต้ท้องเครื่องบิน มาช้าเกือบสองชั่วโมง

พี่แยมแอบเล่นโมบายของน้องพิงค์


พอส่งครอบครัวลุงใหญ่แล้ว คุณพ่อโป๊ะก็กลับมานอนที่บ้านสวนริมธารอีกหนึ่งคืน เช้าวันจันทร์ป้าแอ จึงขับรถไปส่งพ่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินนกแอร์ กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เช้าวันจันทร์หนาวจ๊าดนัก เอาปรอทมาวัดที่สนามหญ้าได้ประมาณ 8 องศาเซลเซียส เครื่องทำน้ำอุ่นแทบสู้ไม่ไหวเชียวนะ เรื่องราวการมาเยี่ยมน้องพิงค์ของครอบครัวลุงใหญ่ในครั้งนี้ มีค่อนข้างมากและสนุกสนาน สามารถแยกออกได้เป็นหลายตอน เช่น ตอนมาอยู่ที่บ้านในตอนนี้ , ตอนไปแอ่วงานพืชสวนโลก และ ตอนไปแอ่วน้ำพุฮ้อน สันกำแพง น้องพิงค์คุยกับพ่อแล้ว ได้ความว่า พ่อจะค่อยๆนำเรื่องและภาพมาขึ้นเว็บไซท์ให้อ่านกันในโอกาสต่อไปเจ้า....น้องพิงค์ขอลาไปนอนก่อนนะเจ้า บ๊ายบาย

ป้าป้อมมาเยี่ยมที่เชียงใหม่

เย้ ! ดีใจจัง ป้าป้อม ขึ้นมาเยี่ยมน้องพิงค์ที่เชียงใหม่ด้วยล่ะ อากาศสัปดาห์นี้ ค่อนข้างหนาว อุณหภูมิตอนเช้ามืด ประมาณ 10 องศาเซลเซียส แต่ตอนสายๆ กำลังสบาย ตอนบ่ายค่อนข้างร้อน เหมาะแก่การอาบน้ำ ที่น้องพิงค์ยังไม่จะชอบอาบน้ำสักเท่าไหร่


ป้าป้อม กำลังนั่งดูหนังจากยูบีซี ในช่วงที่น้องพิงค์นอนหลับพักผ่อนตอนกลางวัน น้องพิงค์ตัวหนักประมาณ 5 กิโลกรัมแล้วในตอนนี้ ป้าป้อมอุ้มไม่ไหว ได้แต่หยอกล้อตอนที่น้องพิงค์อยู่บนตัวคุณพ่อ

หนาวหรือไม่ ลองดูชุดที่น้องพิงค์ใส่ ก็น่าจะรู้นะจ๊ะ ขนาดเป็นคนขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย น้องพิงค์ยังยอมใส่ชุดหมีพู โดยดี

น้ากัลยาณีย์ และน้าอนงค์ มาเยี่ยมพิงค์






บ่ายวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2549 อากาศที่บ้านสวนริมธาร อ.ดอยสะเก็ด เย็นสบายด้วยอุณหภูมิภายในห้องนั่งเล่นประมาณ 26 องศาเซลเซียส เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวของเชียงใหม่ น้ากัลยาณีย์ มาพร้อมคุณแม่ และพี่พีช ส่วนหน้าอนงค์ เดินทางมาคนเดียว มาเยี่ยมน้องพิงค์พร้อมๆกัน น้าณีย์และน้านงค์ เป็นเพื่อนของแม่น้อยมาตั้งแต่เด็ก ร้องไห้ขี้มูกโป่งมาด้วยกัน น้าณีย์มีลูกสาวก่อนแม่น้อย ชื่อ พี่พีช โตเร็วจัง เผลอแป๊บเดียว 3 ขวบแล้ว ส่วนน้านงค์ยังโสดจ้า...น้องพิงค์นอนเล่น กินนมจากเต้า..สบายอารมณ์ มีหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อน้ำนมไหลไม่ทันใจ วันนี้สายสะดือของน้องพิงค์หลุดแล้ว หลังจากลุ้นว่าจะหลุดเมื่อไหร่มานานกว่า 20 วัน ต่อไปก็ต้องมาลุ้นอีกว่าน้องพิงค์จะสะดือจุ่นหรือเปล่า (ฮา...)
ยินดีนักๆ ที่มาเยี่ยมน้องพิงค์เจ้า... แล้วต้องปิ๊กมาแหมเน้อ...

เด็กกำลังกินกำลังนอน






น้องพิงค์ อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์พอดี แต่สามวันแรกต้องอยู่ห้องพิเศษรวม 4 เตียง เพราะห้องพิเศษเดี่ยวไม่ว่าง เนื่องจากคนที่คลอดแบบฝากพิเศษที่นี่ส่วนใหญ่ต่างก็จองห้องพิเศษเดี่ยวด้วยกันทั้งนั้น ห้องพิเศษรวม 4 เตียงนั้น มีพื้นที่ค่อนข้างแคบ ไม่สะดวกสำหรับผู้มาเยี่ยม แต่ก็อบอุ่นดี เพราะคุณแม่มือใหม่ สามารถพูดคุยปรึกษากันได้ ส่วนห้องพิเศษเดี่ยวนั้นดี เพราะกว้างขวาง มีทีวี ตู้เย็น ตู้เก็บของ และมีความเป็นส่วนตัวผู้มาเยี่ยมสามารถพูดคุยกันได้อย่างสะดวกใจ และไม่เคร่งครัดในเรื่องเวลาเยี่ยม สุขภาพของพิงค์ค่อนข้างดี ไม่มีอาการตัวเหลือง แต่หายใจค่อนข้างถี่ไปสักนิด (70 - 80 ครั้ง/นาที) คุณแม่น้อยค่อนข้างเครียดในสองวันแรก เพราะพยาบาลไม่เอาลูกมาให้เลี้ยง เนื่องจากอาการหายใจเร็วของน้อง พอวันที่สามเครียดไปอีกแบบ เพราะไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน...







การที่คุณแม่น้อย ไม่มีนมให้ลูกกินนั้น สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะการคลอดโดยวิธีผ่าตัด ไม่ใช่การคลอดโดยธรรมชาติ ทำให้น้ำนมมาช้ากว่าปกติ คุณแม่ฝากท้องและตรวจกับคุณหมอสุจินต์ ที่คลินิคศูนย์รวมแพทย์อรุณอมรินทร์ ใกล้กองทัพเรือ จึงไม่ได้เข้าคอร์สฝึกการเตรียมให้นมลูก วันที่ลงไปหาน้องพิงค์ที่ห้องดูแลเด็กแรกเกิด ชั้น 2 อาคารสมเด็จพระศรีนครินทร์ 100 ปี คุณแม่อุ้มน้องพิงค์ไว้ในอ้อมแขน มองดูลูกพยายามดูดนมแม่ และร้องไห้เพราะไม่มีนมออกมา พยาบาลได้นำนมชงป้อนให้ค่อยๆดื่มแทนนมแม่ น้องพิงค์จึงค่อยสงบลง จนในที่สุดก็หลับไปอย่างมีความสุข





ในช่วงเวลากลางคืน น้ามัทรี จะแวะมาเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่น้อยเป็นประจำ ทำให้แม่น้อย ซึ่งยังเดินไม่ค่อยถนัด เพราะเจ็บแผลผ่าตัด สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้อย่างสะดวกขึ้น ถ้าไม่ได้น้ามัทรีมาอยู่ด้วย คุณแม่ของหนูพิงค์ต้องแย่แน่ๆเลยจ้ะ...
ช่วงนี้ คุณพ่อโป๊ะต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างโรงพยาบาล - บ้าน - ร้านค้า - และร้าน S&P ที่อยู่ในโรงพยาบาลใกล้ตึกสมเด็จพระศรีนครินทร์ 100 ปี ซื้อของใช้สำหรับลูก และ ซื้อเสบียงมากินกัน หมดจากช่วงนี้ไป เห็นทีจะเบื่ออาหาร S&P ไปอีกนานเชียวล่ะ




ช่วงแรกของการผ่าตัดคลอด คุณแม่ทานอะไรไม่ได้ถึงสองวัน แต่ได้รับน้ำเกลือแทน หลังจากนั้น โรงพยาบาลจัดอาหารอ่อนประเภทข้าวต้มมาให้ทาน อาหารบางอย่างก็ต้องให้คนเฝ้าทานแทน เพราะไปขัดกับความเชื่อโบราณว่าเป็นของแสลงสำหรับคนที่คลอดบุตรใหม่ๆ เช่น แตงโม เป็นต้น ตอนนี้คุณแม่โหยหา ส้มตำปูม้า , ปลากระพงทอดน้ำปลา ฯลฯ ของครัวเจ้ง๊อ มากเลยล่ะ อิ..อิ

น้องพิงค์ญาติเยอะ











อุ๊ยยาย นำขบวนญาติจากจังหวัดเชียงใหม่ ลงมาเยี่ยมหลานคนเล็ก ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2549 โดยมีป้าแอ กับลุงเบิ้ม ผลัดกันขับรถซิ่งลงมา วัตถุประสงค์หลักก็คือต้องการนำพี่อ๋อย ลงมาส่งให้ช่วยดูแลหลานสาวที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเจ้าตัวน้อยเดินทางกลับเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ใหญ่ที่เอ่ยถึงแล้ว ภายในรถยังอัดแน่นไปด้วยสองเซียนฝาแฝด Book & Boom ที่ซนสุดๆ และพี่บาส ที่กำลังเริ่มเป็นหนุ่มน้อย ดังนั้น ญาติคนอื่นๆ จากเชียงใหม่ จึงไม่สามารถเดินทางมาเยี่ยมน้องพิงค์ได้ในครั้งนี้จ้า


สำหรับเพื่อนคนอื่น ต้องขออภัยที่ตากล้องไม่ได้เก็บภาพเอาไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ก็ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ท่านได้มาเยี่ยมน้องพิงค์ และถึงแม้บางคนจะไม่ได้มา แต่ก็ฝากของมารับขวัญเจ้าตัวเล็กอย่างมากมาย ขนกันหลายเที่ยวกว่าจะหมดครับ

มุมมองจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลศิริราช




สามวันแรกที่ยังไม่ได้ห้องพิเศษเดี่ยว เราพักอยู่กันที่ชั้น 13 ของตึกพระศรีฯ 100 ปี บรรยากาศที่ริมระเบียงก็พอใช้ได้ เห็นวิวแม่น้ำด้านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมา พอได้ห้องพิเศษเดี่ยวที่ชั้น 14 ห้องพักจะอยู่อีกฟากหนึ่งของตึกพระศรีฯ จึงเห็นวิวแม่น้ำเต็มที่ยาวไกลสุดสายตาเลยนะ บรรยากาศตอนกลางวันดูสวยงาม เหมาะสำหรับญาติที่มาเฝ้าคนป่วย เอาอาหารกลางวันมานั่งรับประทานกันที่ริมระเบียง แล้วก็ยืนชมวิวเป็นอาหารตาไปด้วย

ตอนกลางวัน บรรยายริมระเบียงว่าสวยแล้ว แต่พอตกค่ำ บรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ยิ่งสวยงามเป็นทวีคูณ เพราะเขาเปิดไฟส่องสว่างประบรมมหาราชวัง และวัดวาอาราม ตลอดจนตึกสูง เด่นเป็นสง่า แถมเรือภัตาคารขนาดใหญ่ก็เปิดไฟประดับ ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาดูมีชีวิตชีวาดีมากจริงๆ